จากผลการประชุมร่วมกันระหว่าง 14 หน่วยงาน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบต่อแรงงานจากวิกฤติเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตกงานที่กำลังระบาดอยู่ขณะนี้ ทำให้รู้สึกหนาวๆๆร้อนๆๆอยู่เหมือนกัน โดยมีการการคาดการณ์จะมีคนตกงานราว 9 แสนถึง 1 ล้านคนเยอะนะ
มีการวางมาตรการรองรับปัญหาดังกล่าวที่แต่ละหน่วยงานได้เสนอเป็นแนวทางมา เช่น การกำหนดนโยบายการเงิน การคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาภาคเกษตรเพื่อเป็นแหล่งรองรับการว่างงาน สนับสนุนช่วยเหลือการดำเนินงานของเอสเอ็มอี กระตุ้นการจ้างงานในท้องถิ่น พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณท์เพื่อขยายตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้นำงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีอยู่จำนวน 5 แสนล้านบาท นำมาแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งนี้ โดยการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือคนว่างงานระดับท้องถิ่น ทำการสำรวจคนว่างงานในแต่ละพื้นที่ แล้วส่งต่อไปยังสำนักงานแรงงานจังหวัดที่มีตำแหน่งงานว่างอยู่แล้วบรรจุให้เข้าทำงานต่อไป เพื่อเป็นการรองรับคนตกงานที่จะกลับไปบ้านเกิดและนักศึกษาที่จบใหม่ไม่มีงานทำ รวมทั้งยังเป็นศูนย์ที่จะรวบรวมคนงานที่สนใจไปทำงานต่างประเทศแล้วส่งต่อมาที่กระทรวงแรงงานจัดส่งไปทำงานต่อไป
อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวนี้แต่ละหน่วยงานจะเสนอเป็นรูปธรรมอีกครั้งในที่ประชุม 14 หน่วยงานที่มีกระทรวงแรงงานเป็นฝ่ายเลขานุการอีกครั้งในต้นเดือนมกราคม 2552
ทราบเพียงเท่านี้คงทำให้มีความรู้สึกดีนะ คนตกงานหรือคนที่อนาคตเป็นอนิจจังแล้วคงจะเบาใจได้บ้าง แต่หากติดตามการทำงานของกระทรวงแรงงานที่ผ่านมาเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการตกงานแล้ว ทำให้รู้สึกไม่ไว้วางใจในความตรงไปตรงมา หรือว่าอาจจะมีการจ้องงาบ ดูได้อย่างกรณีที่จะนำเงินประกันสังคมจำนวน 1 พันล้านบาท รู้ไหมว่าเอาไปทำอะไร เอกไปซื้อข้าวสารแจกคนตกงาน ฟังเท่านี้ก็รู้แล้วว่ากึ้นมีมากน้อยขนาดไหน หรือว่าเป็นการนำเงินส่วนหรือไปช่วยโรงสีข้าวคิดหรือว่าจะไม่มีนอกมีใน
หากติดตามความพยายามของการที่จะทำเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้นี้แล้วจะเห็นได้ว่า มีความพยายามมาตลาด เพราะเงินกองทุนประกันสังคมเป็นก้อนเงินที่มากในระบบการเงินของประเทศก็ว่าได้ เนื่องจากที่ผ่านมานั้นรัฐบาลประชานิยมได้ถลุงเงินเด็กจากธนาคารออมสินไปเกือบหมดแล้ว จึงเห็นหาเงินก้อนอื่น ดังจะเห็นได้จากความต้องการที่จะนำเงินส่วนนี้ไปสนองโครงการโคล้านตัว และกระทรวงศึกษาธิการก็มีความพยายามจะดึงไปอีกพอถูกต้านก็เลิกไป และมาคราวนี้จะนำเงินไปซื้อข้าวสารแจกอีกก็ได้รับการต่อต้านจากผู้ใช้แรงงานและผู้ประกันตน ถ้าจะถามว่าการให้บริการการรักษาพยาบาลผู้ประกันตนมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ก็คงจะได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า”ห่วย” ผู้ประกันตนถูกมองเหมือนกับคนชั้นสอง
มาคราวนี้มีการดึงงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปแก้ปัญหาอีก นั้นแสดงให้เห็นว่า เงินในระบบเริ่มจะมีปัญหาขาดสภาพคล้องหรือรัฐไม่มีเงินจะใช้แล้วในที่สุดก็พิมพ์กระดาษมาใช้ไปก่อน
หากมีการนำงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ตามแผนการกระจายอำนาจสู้ท้องถิ่นแล้วเห็นด้วย ไม่ใช่ผู้มีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงินยังเป็นส่วนกลางอยู่
ก็คงต้องตั้งคำถามว่าตั้งแต่รัฐบาลประชานิยมเข้ามาบริหารประเทศให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการกระจายไปสู่หัวคะแนนโดยผ่านโครงการเงินกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอลหรือโครงการประชานิยมต่างๆๆเป็นลักษณะของการแจกให้เปล่า
และมาคราวนี้กลุ่มเพื่อนเนวินเข้ามาร่วมรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอีก หากเป็นการซื้อปลาแจกก็ไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านมา แนวทางน่าจะเป็นการนำเงินไปสอนให้ชาวบ้านเลี้ยงปลากินน่าจะยั่งยืนกว่า ดังนั้น การนำเงินท้องถิ่นไปใช้แก้ปัญหาตกงานน่าจะเป็นวิธีการนี้น่าจะเกิดประโยชน์กว่าคือเป็นการนำเงินไปสร้างงานสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น
ขณะเดียวกันหากรัฐบาลเห็นความสำคัญของการกระจายอำนาจสู้ท้องถิ่นและดำเนินการตามแผนการกระจายอำนาจที่วางใว้แล้วปัญหาการว่างงานก็ไม่น่าจะรุนแรงอย่างเช่นปัจจุบันนี้
ก็ดีเหมือนกันว่าการตกงานในครั้งนี้ก็การล้มเหลวของการบริหารประเทศที่ยึดศูนย์ร่วมการบริหารไว้ส่วนกลางโดยเห็นการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเมียน้อย ก็ให้นักบริหารที่นั่งอยู่แต่ในห้องแอร์ได้เห็นความผิดพลาดบ้างก็ดี
ดังนั้น เหมือนมีการเปลี่ยนผู้บริหารมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์คงจะเห็นความสำคัญของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างที่เคยดำเนินการมาช่วงที่เข้ามาบริหารประเทศ ควรมีการต่อยอดของแผนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้เป็นไปตามเป้าที่ได้วางไว้ เพราะนี้คือรากฐานของประชาธิปไตย นักการเมืองระดับชาติจะได้คิดทำงานระดับชาติบ้างไม่ใช่แย่งงานท้องถิ่นทำอย่างเช่นปัจจุบันนี้แล้วแก้ปัญหาของชาติไม่ได้
อีกประการหนึ่งก็คือ การจัดสรรคลื่นความถี่ให้เป็นธรรม จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ได้มีคลื่นความถี่เอื้อประโยชน์สนองตัณหานักการเมือง ดูได้อย่างวิทยุชุมชน กีการเรียกร้องกันนักต้องการมีวิทยุชุมชนพอมีแล้วก็ใช้ไม่เป็น
หากรัฐบาพรรคประชาธิปัตย์ทำสองเรื่องนี้เป็นผลสำเร็จแล้วเชื่อแน่ว่าจะสามารถตัดสายน้ำเลี้ยงระบอบทักษิณไปได้ไม่น้อย หากไม่ทำแล้วขอบอกว่า เลือกตั้งคราวใดก็มีแต่แพ้กับแพ้
มหาเนชั่น
http://www.mhanation.net/
รายงาน
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น