วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พุทธวิธีผจญมารตีนตบปิดล้อมรัฐสภากันรัฐบาลมาร์คแถลงนโยบาย

วันพรุ่งนี้ 29 ธันวาคม รัฐบาลมาร์คจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อบริหารประเทศแก้วิกฤติเศรษฐกิจคนตกงาน โรงงานปิด ขนะเดียวกันก็มีกระแสต่อต้านจากกลุ่ม นปช.ตั้งเวทีโจมตีที่ท้องสนามหลวงเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมนี้
ขณะเดียวกันรัฐมนตรีเดินทางไปไหนก็มีคนเสื้อแดงใช้ตีบตบแห่ไล่เลียนแบบกลุ่มพันธมิตรให้มือตบแห่ไล่คนรัฐบาลชุดที่แล้วชนิดหนามยอกเอาหนามบ่ง แบบนี้แล้วรัฐบาลจะทำอย่างไรฆ่ากันเลยดีมะมันจะได้จบๆคนจะได้น้อยลงจะได้ไม่ต้องแย่งกันกิน
วันนี้ (28 ธันวาคม) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีได้นำกระเช้าผลไม้เข้าอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ พล.อ.เปรม กล่าวแนะนำว่า ขณะนี้บ้านเมืองเรากำลังลำบากประชาชนไม่ค่อยมีความสุข แต่บ้านเมืองเราโชคดีที่นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองได้ด้วยความร่วมมือขอคนทั้งประเทศ
“ผมดีใจที่ได้นายกรัฐมนตรีชื่อ "อภิสิทธิ์" และคิดว่าคนไทยก็ดีใจแต่คนไทยยังคงไม่หายกลัวเท่าไหร่ คงต้องรอดูว่านายกรัฐมนตรีจะเอาอะไรไปมอบให้เขาได้บ้างในระยะเวลาที่นายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำรัฐบาล” ประธานองค์มนตรี กล่าวและว่า
ตนรู้จักนายอภิสิทธิ์นานพอสมควรและเข้าใจดีว่านายอภิสิทธิ์ได้เข้ามาเล่นการเมืองเพื่ออะไร มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนให้น้อยลงได้ อย่างที่ตนบอกแล้วว่าโจทย์นี้ยากแต่ไม่ยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ ดีใจที่มีพวกเราเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ คิดว่างานนี้ไม่เบาและต้องเหนื่อยมาก ๆ
“พวกเราทั้งหมดนี้ต้องจำคำ 5 คำคือ อดทน อดกลั้น เสียสละ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างและสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น ถือเป็นคำบอก กล่าวของตนไปยังนายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็นคำแนะนำแต่บอกให้ทราบ เพราะไม่สมควรที่จะแนะนำ นายอภิสิทธิ์เป็นผู้รู้อะไรมากกว่าตนด้วยซ้ำไป หากสิ่งที่ตนพูดเป็นประโยชน์ก็ดีใจแต่ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ลืมไปก็แล้วกัน
บ้านเมืองของเรามีพระสยามเทวาธิราชและขอให้พระสยามเทวาธิราชโปรดดลบันดาลให้นายกรัฐมนตรีและทุกคนที่เป็นรัฐบาลและเป็นส.ส.โปรดแนะนำชี้ทางสว่างให้พวกเราทุกคน มอบความสำเร็จมอบความดีมอบความเป็นคนไทยให้กับพวกเราทุกคน เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ นายอภิสิทธิ์จะต้องเหนื่อยมากๆอย่างแน่นอน และมั่นใจว่านายอภิสิทธิ์พร้อมและยินดีที่จะเหนื่อยเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเพื่อคนไทย ขอให้ประสบความสำเร็จ” ประธานองค์มนตรี กล่าว
คำแนะนำของประธานองค์มนตรีทั้ง 5 คำนั้น มีคำหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้นได้นั้นก็คือความอดทน หากมีความอดทนต่อคำด่าคำโจมตีได้แล้ว คนด่าก็เหมือนกับคนถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าในที่สุดก็หล่นมาใส่น้ำตัวเขาเอง
ความอดทนนี้ก็ถือว่าเป็นพุทธวิธีประการหนึ่งที่จะสามารถคลี่คลายปัญหาที่คนด่าได้ เฉกเช่นในพุทธกาลพรรษาที่ 9 พระพุทธเจ้าทรงรับอาราธนาของโฆษิตเศรษฐี ไปประทับจำพรรษาที่วัดซึ่งเศรษฐีเป็นผู้สร้าง ชื่อว่า โฆษิตาราม ที่กรุงโกสัมพี นครหลวงของแคว้นวังสะ มีพระเจ้าอุเทนเป็นกษัตริย์ปกครอง
ขณะประทับอยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าได้ทรงทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยของมาคันทิยพราหณ์และภรรยา จึงเสด็จไปโปรดจนพราหณ์ทั้งสองคนได้บรรลุธรรม ขณะเดียวกันพราหณ์มีลูกสาวชื่อนางมาคันทิยาที่ยังสาวมีรูปงามดุจนางเทพอัปสร ยังไม่มีผัว พราหณ์คงไม่ทราบวินัยพระว่าพระจะมีเมียไม่ได้ จึงได้ยกลูกสาวให้กับพระพุทธเจ้าเพราะเห็นศิริโฉมของพระพุทธองค์เป็นบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นสามีของนาง
พระพุทธองค์ได้ตรัสห้ามว่า

“ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อตถาคตตรัสรู้ใหม่ ๆ ธิดามาร 3 คน (ตัณหา ราคะ อรดี) ซึ่งมีร่างกายเป็นทิพย์สวยงามกว่าลูกสาวของท่านหลายเท่านัก มาประเล้าประโลมเราที่โคนต้นอชปาลนิโครธ เรายังไม่สนใจไม่พอใจ เหตุไฉนจะมาพอใจยินดีในลูกสาวของท่านที่ร่างกายเต็มไปด้วยมูตรและกรีส(ปัสสาวะและอุจจาระ)” (หากเป็นหนุ่มแก่หนุ่ม่อ่อนยุคปัจจุบันนี้คงจะตาลุกวาวมีหรือจะปฏิเสธ) ส่งผลให้นางมาคันทิยาผูกใจเจ็บอาฆาตจองเวรพระพุทธองค์
ต่อมานางได้เป็นมเหสีรองของพระเจ้าอุเทนแห่งโกสัมพี จึงหาทางแก้แค้นพระพุทธองค์ ได้โดยสะดวก ดังนั้นเมื่อนางทราบว่าพระตถาคตเจ้าเสด็จมาโกสัมพี นางจึงจ้างบริวารของนางบ้าง ทาสและกรรมกรบ้าง ให้เที่ยวติดตามด่าพระพุทธองค์ ทุกมุมเมือง ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงเหยียบย่างไป ด้วยคำด่า 10 ประการ คือ เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนบ้า เป็นอูฐ เป็นลา เป็นวัว เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี เจ้ามีแต่ทุคติอย่างเดียว
พระอานนท์เถระซึ่งตามเสด็จได้ฟังแล้วสุดที่จะทนไหว จึงกราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองอื่น พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า
“อานนท์ ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?”
“ก็เสด็จไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า”
“ถ้าคนที่เมืองนั้นด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร ?”
“ก็เสด็จไปที่เมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าทำอย่างนั้นเราก็จะหนีกันไม่สิ้นสุด ทางที่ถูกนั้นอธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ก็ควรให้อธิกรณ์สงบระงับในที่นั้นก่อนแล้วจึงไป”
พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า
“ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาอธิกรณ์เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วย่อมไม่เกิน 7 วัน ก็จะสงบระงับไปเอง”

แล้วพระพุทธองค์ก็แสดงพุทธพจน์ว่า

“ดูก่อนอานนท์! ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิ เป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น”

นางมาคันทิยาเป็นมเหสีรองของพระเจ้าอุเทน พระมเหสีใหญ่คือพระนางสามาวดี พุทธสาวิกาเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้ามาก เมื่อนางมาคันทิยากลั่นแกล้งพระศาสดาไม่สมประสงค์ ก็หันมาริษยาหาโทษให้พระนางสามาวดีจนพระเจ้าอุเทนทรงเชื่อและคิดจะประหารชีวิตพระนางสามาวดี
นางมาคันทิยาได้ว่าจ้างลิ้วล้อเผาปราสาทส่งให้พระนางสามาวดีสิ้นพระชนม์พร้อมกับหญิงบริวาร 500 คน แต่หญิงทั้ง 500 นั้นมีความไม่ประมาทในชีวิต เพราะอารมณ์จิตเป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว จึงได้แนะนำกันว่า พวกเราทั้งหลาย จงอย่าโกรธ ในพระนางมาคันธิยา จงอย่าโกรธ ผู้เผาปราสาท จงมีจิตคิดให้อภัยแก่คนทั้งสอง เร่งรัดรวบรวมกำลังใจสร้างความดีให้สูงยิ่งขึ้นไป ในขณะที่ไฟใกล้เข้ามา จวนจะเผาเข้ามาถึงกาย ก็ปรากฎว่า บางคนได้เป็นพระสกิทาคามี บางคนบรรลุถึงพระอนาคามี
พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสแก่ พระอานนท์ ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เราเองนึกถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หญิง 500 ที่ถึงว่าจะตายแล้ว ก็เหมือนกับคนที่ไม่ตาย"
ต่อมาพระเจ้าอุเทนทรงทราบข้อเท็จจริงภายหลัง จึงสั่งประหารชีวิตนางมาคันทิยาพร้อมทั้งบริวารและญาติ ด้วยการให้ขุดหลุมฝังนางมาคันทิยาและบริวารเพียงแค่คอ แล้วให้ไถจนอวัยวะฉีกขาดจากร่างกายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ส่วนนางมาคันทิยาผู้เป็นต้นเหตุ พระองค์รับสั่งให้เฉือนเนื้อของนาง นำไปทอดน้ำมันเดือดแล้วนำมาให้นางกิน ทรงกระทำอย่างนี้ จนกระทั่งนางสิ้นชีพไปบังเกิดในทุคติ
การตายของนางมาคันทิยาแบบนี้ พระพุทธองค์ ตรัสว่า นางมาคันธิยาในสมัยที่ยังไม่ตาย ก็เหมือนกับบุคคลที่ตายแล้ว คือ มีแต่ความชั่ว ไม่มีความดี ตายจากความเป็นสุข มีแต่ความเร่าร้อน
ดังนั้น การทำความชั่วอย่าได้คิดว่าจะมีคนอื่นต้องมาลงโทษ ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ กรรมที่เราทำความชั่ว มันก็ทำความเร่าร้อน ให้เกิดขึ้นแก่เรา ใครเขาพูดความชั่ว คราวใด เราก็สะดุ้ง เพราะเรามันเลว พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัตตนา โจทยัต ตานัง" จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทก์ตน กล่าวโทษตน ไว้เป็นปกติหา ความชั่วของตัว อย่าไปหาความชั่ว ของบุคคลอื่น

mhanation.net
รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: