วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ถูกต้องสง่างามหรือไม่มาร์คแถลงนโยบายที่ก.ต่างประเทศ

การประชุมรัฐสภาได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อเวลา 11.20 ของวันที่ 30 ธันวาคม ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายเพื่อนำไปบริหารราชการแผ่นดิน
อย่างไรก็ตามคงจะมีคนตั้งข้อสงสัยว่า การแถลงนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศเช่นนี้ถูกต้องสง่างามหรือไม่
แต่จากการได้ค้นข้อมูลไม่ได้มีการกำหนดสถานที่เป็นองค์ประกอบของสภาเลย มีแต่เพียงกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่เป็นลักษณะของสภาเดี่ยวหรือสภาคู่ ซึ่งสภาเดียวอาจจะมีเฉพาะ ส.ส. ส่วนสภาคู่คือมี ส.ส.กับ ส.ว.
แต่ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วได้กำหนดไว้ว่า ที่ประชุมของบัณฑิต คนคิดดี พูดดี ทำดี เรียกว่า สภา ถ้าไม่ใช่ก็จะกลายเป็น “ ที่ซ่องสุม ” ของกลุ่มคนชั่วคนเลว หรือถ้าหากได้อ่านวิสัยทัศน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อง เรื่อง"พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง" สมัยเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ตัดตอนและเรียบเรียงจากการปาฐกถาพิเศษ ณ หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๒ จัดโดยมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ จะทำให้สภาว่าลักษณะของสภาที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เรื่อง"พุทธทาสที่ข้าพเจ้ารู้จักในทางการเมือง" โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย
นมัสการพระคุณเจ้า เรียนท่านวิทยากร ท่านผู้จัดงาน โดยเฉพาะท่านประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐท่านวิโรจน์ ศิริอัฐ ที่กรุณาให้เกียรติผมเป็นองค์ปาฐกในวันนี้ ผมขอกราบเรียนว่าผมมีความเต็มใจและมีความตั้งใจ ที่จะมาร่วมงานนี้ เพราะต้องการมีส่วนสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านพุทธทาสตามที่ท่านบอกว่า พุทธทาสจักไม่ตาย นั่นคืออยากให้ปรัชญาที่ท่านพุทธทาสได้ค้นพบนั้นได้รับการเผยแพร่ ได้รับการปฏิบัติตลอดไป มุ่งไปสู่จุดหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาของเราคือ การดับทุกข์ ผมอยากให้คนไทยทุกคนชาวพุทธทุกคนได้มีโอกาสเห็นพระพุทธเจ้า ดังที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับพระวักกลิว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
เพราะฉะนั้นการเห็นธรรมจึงถือเป็นหัวใจสำคัญมากของสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทย ทุกวันนี้เป็นสังคมที่วิกฤติในหลายด้าน เรากำลังต้องการธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ต้องการธรรมะที่เป็นลักษณะบิดเบือนหรือชักจูงไปในทางที่ผิด เราต้องการธรรมะที่ทำให้คนไทยสามารถดับทุกข์ได้ โดยคนไทยปราศจากซึ่ง "ตัวกู-ของกู"คือการปราศจากจากกิเลสนั่นเอง ผมจะขอเริ่มตรงนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะเคยฟังประวัติของท่านพุทธทาสมาบ้างแล้ว แต่ผมอยากกล่าวถึงท่านในสิ่งที่เป็นปรัชญา
ผมคิดว่าท่านเป็นปัญญาวิมุติบุคคล คือบุคคลที่บรรลุธรรมด้วยปัญญาที่หลุดพ้นจากกิเลส ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอยู่กับธรรมชาติ เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติและศึกษาพระไตรปิฏก ศึกษาธรรมะ ศึกษาศาสนาต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบซึ่งมีน้อยคนนักที่จะสามารถค้นคว้าศึกษาและเป็นนักคิดนักอ่านเช่นท่านได้ ชีวิตของท่านได้สะท้อนหลายสิ่งหลายอย่าง ที่น่าจะเป็นประโยชน์และเป็นบทเรียนที่ดีของสังคมไทย ท่านได้เปรียญ๓ ประโยค พอจะขึ้นเปรียญ ๔ ท่านเข้าใจไปว่าท่านสอบตก เนื่องจากคณะกรรมการสมัยนั้นตีความภาษาบาลีไม่เหมือนกับท่าน ซึ่งท่านเองได้ไปค้นคว้าและพิสูจน์ให้เห็นว่า ภาษาบาลีของท่านนั้นได้นำมาซึ่งความรู้ใหม่ ๆ หลายอย่าง คือท่านมีความจัดเจน
สิ่งนี้ได้บอกอะไรเราบางอย่างว่าการศึกษานอกระบบนั้นสามารถทำให้คนฉลาดและเก่งได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการศึกษาในระบบเท่านั้น เพราะการศึกษาในระบบบางครั้งอาจผิดพลาดได้ อาจทำให้เด็กของเราเติบโตขึ้นมาในทางที่มีปัญหาต่อวิธีคิดและวิธีปฏิบัติมากพอสมควร เพราะฉะนั้นการศึกษานอกระบบบางครั้งก็เป็นประโยชน์มาก มีตัวอย่างมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้กระทั่งคนดังอย่างบิลล์ เกทส์ เรียนหนังสือไม่ทันจบ ก็ออกไปทำงานของตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ด้วยวัยเพียง ๔๐ ต้น ๆ เท่านั้น
สิ่งที่ผมศรัทธาท่านพุทธทาสอีกประการหนึ่ง และอยากให้สังคมได้ทราบคือ ท่านพุทธทาสเป็นนักคิดที่กล้าคิดนอกกรอบ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า think out of box ท่านพูดว่าถ้าจะศึกษาพระไตรปิฏก ต้องกล้าที่จะคิดนอกกรอบของพระไตรปิฏก คือต้องเอาตัวเองหลุดพ้นออกมาจากพระไตรปิฏกเสียก่อน นั่นคืออย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ท่านไปศึกษาจากธรรมะ จากข้อเขียนหลากหลายที่รวมทั้งพระไตรปิฏกด้วย ผลสุดท้ายท่านได้ข้อสรุปหลายเรื่องยกตัวอย่างวิธีคิดที่ท่านได้สอนสังคมไทยอย่างหนึ่งคือ ในพระบาลีเรื่องของกาลามสูตร ๑๐ ข้อ ท่านพุทธทาสไม่อยากให้เราไปเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด ไปเชื่อเพราะว่าคนที่เราศรัทธาพูด โดยที่เราไม่กลับไปคิดค้นอีกทีว่าสิ่งที่พูดมานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ดังนั้น การที่เราไปเชื่ออะไรง่าย ๆ ทำให้เราอาจจะไม่ได้ค้นพบหรือประวัติศาสตร์ของความรู้ จะพูดถึงเรื่องศาสนาต่างๆ ที่มาของศาสนาต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของความรู้ ตรงส่วนของพุทธศาสนาเขาบอกว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นความคิดทางจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่ และยังมีพลวัตทางความคิดที่ทันสมัยอยู่ การอธิบายของศาสนาพุทธจึงมีความหมายในเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งกว่าศาสนาอื่น ซึ่งตอนนี้กลับไปมีอิทธิพลในตะวันตก
ผมเชื่อว่างานของท่านพุทธทาสส่วนหนึ่ง มีส่วนผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะท่านได้เขียนหนังสือหลายเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษ ได้สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติที่มาฟังธรรมกับท่านเป็นประจำ ท่านเองไม่ได้เรียนหนังสือมากแต่ท่านศึกษาด้วยตนเอง จนกระทั่งภาษาอังกฤษของท่านอยู่ในขั้นที่สามารถจะเทศน์และสนทนาธรรมกับฝรั่งได้ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ปรัชญาโดดเด่นอีกประการของท่านคือ ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่ท่านสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า การตรัสรู้หรือความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปนั้น เปรียบเสมือนใบไม้ทั้งป่า แต่หลักที่จะจำและนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียว นี่ละครับเป็นสิ่งที่ผมมองว่าวิเศษสุดเพราะยิ่งเรามาดูในหนังสือHistory of Knowledge จะยิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เป็นผู้เขียนพระไตรปิฏกด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นการแปลธรรมะต่าง ๆ ก็ออกไปในหลายรูปแบบ แล้วแต่ใครจัดเจนหรือถนัดตรงไหน หรือ อยากให้คนที่มาฟังเชื่ออย่างไรโดยมีวิธีการที่จะทำให้เขาเชื่อได้แบบไหน บ้างก็ทำถูกวิธี บ้างก็ทำอย่างไม่เหมาะสม
แต่ผลสุดท้ายคำที่พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ว่า สิ่งที่จะเป็นความรู้ เป็นปรัชญาจริง ๆ นั้น มีเพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง ตรงนี้ละครับคือหัวใจกำมือเดียวที่ท่านพุทธทาสท่านหยิบยกขึ้นมานั้นน่าสนใจมาก ท่านบอกว่าศาสนาพุทธมีหลักพื้นฐานคือ การดับทุกข์และความไม่ยึดมั่นถือมั่น เหล่านี้คือจุดที่ต้องการให้คนหลุดพ้นจากกิเลสหลุดพ้นจากความเป็น "ตัวกู-ของกู" เพราะว่าการหลุดพ้นได้แล้วนั้น จะทำให้จิตว่าง "จิตว่าง" ที่ท่านพยายามเน้นคือ ว่างจากการเป็นตัวตน ว่างจากการปรุงแต่ง ว่างจากการรบกวนทางอารมณ์ อันนี้เป็นจุดที่เป็นหัวใจหากเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว คนทุกคนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ทุกข์ ขณะเดียวกันก็สามารถจะทำให้ตัวเองและผู้อยู่ร่วมด้วยมีความสุขได้ เป็นปรัชญาที่สั้นแต่มีความสำคัญ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือท่านได้เปรียบเทียบธรรมะคือธรรมชาติให้คำจำกัดความของธรรมชาติใน ๔ ลักษณะ
ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้เป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส ผมมีเวลาเพียง ๒๕ นาทีคงไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ท่านพุทธทาสได้มองการเมืองว่า การเมืองคือธรรมะ ธรรมะคือการเมือง เพราะการเมืองเป็นหน้าที่การเมืองคือการจัดให้คนในสังคมหมู่มากได้อยู่กันอย่างสันติ โดยไม่ต้องใช้อาชญา มันตรงกับทฤษฎี social contract theory หรือทฤษฎีสัญญาประชาคมที่นักปราชญ์รุ่นเก่าอย่าง มองเตสกิเออร์, รุสโซ, จอห์น ล็อค, โทมัสฮอบบ ได้พูดไว้ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องของการจัดการให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ให้มีการรังแกหรือเอาเปรียบซึ่งกันและกันในเมื่อการเมืองเป็นหน้าที่ มันก็ตรงกับธรรมะข้อที่สาม คือเรื่องของการทำหน้าที่ตามกฎธรรมชาตินั่นเอง
เป็นสิ่งที่ฟังแล้วมีเหตุผลมากสิ่งที่ท่านมักเน้นโดยวกเข้าสู่การเมืองคือ ธรรมะเป็นความถูกต้องที่อยู่บนรากฐานของความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นรากฐานที่สำคัญของประชาธิปไตยถ้าผู้คนในระบอบประชาธิปไตยมีความเห็นแก่ตัว ท่านบอกว่าจะเป็นประชาธิปไตยในแบบที่เรียกว่า ประชาธิปตาย คนเราถ้าขาดคุณธรรมแล้ว สังคมจะยุ่งเหยิง การเมืองที่มีธรรมะคือการเมืองของสัตบุรุษ ท่านยังบอกว่าสภานั้นคือที่ชุมนุมของสัตบุรุษ หรือที่ชุมนุมของนักการเมืองที่มีธรรมะ แต่ถ้าสภาใดมีการทะเลาะกัน ด่าทอกัน หรือทำลายล้างกัน มัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนนั้นไม่น่าจะเป็นการเมืองของสัตบุรุษ ที่นั้นจึงไม่น่าจะเรียกว่าสภาเหมือนกับท่านพุทธทาสกำลังจะบอกกับนักการเมืองว่าเราควรจะพิจารณากันให้ดี
เราเองต้องเข้าใจว่า การเมืองในปัจจุบันของบ้านเรานั้น ได้รับอิทธิพลมาจากการเมืองของอังกฤษการเมืองแบบอังกฤษคือมีการโต้แย้งกันในแบบของนักกฎหมาย ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านต้องการเห็นที่ว่าสภาคือที่รวมของสัตบุรุษ อย่างไรก็ตามการเมืองต้องเก็บเอาตรงนี้ไปคิดว่า เมื่อไหร่การเมืองจะเป็นการเมืองของสัตบุรุษท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีนักโกงเมืองนักกินเมือง เราเรียกการเมืองนั้นเป็นการเมืองเนื้องอก เป็นการเมืองที่ไม่มีธรรมะ เป็นการเมืองที่โกงเมืองกินเมือง
ท่านพูดการเมืองในภาษาธรรม เพื่อจะให้นักการเมืองทำในสิ่งเหล่านี้คือ ทำการเมืองที่สร้างสรรค์ เลิกทำลายกัน ท่านต้องการเน้นไม่ให้มีการคอร์รัปชัน ท่านต้องการให้นักการเมืองหรือคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้นรู้จักคำว่ากตัญญู ซึ่งคำนี้กินความกว้างมากเหลือเกินท่านบอกว่าศัตรูนั้นเรายังต้องกตัญญูต่อศัตรู เพราะถ้าไม่มีศัตรูก็ไม่มีสมรรถภาพ เพราะมีศัตรูเราจึงต้องปรับปรุงสมรรถภาพเพื่อให้สู้ศัตรูได้ความกตัญญูของท่านนั้นจะเห็นว่า ท่านใจกว้างมาก ท่านไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นนับประสาอะไรกับนักการเมืองที่จะต้องกตัญญูต่อประชาชน ทำไมต้องกตัญญู ก็เพราะประชาชนให้ศรัทธาแก่นักการเมืองเราต้องกตัญญูต่อศรัทธาของประชาชน ต้องกตัญญูต่อเงินเดือนที่ได้รับจากภาษีอากรของประชาชน ต้องกตัญญูกับการที่ประชาชนให้โอกาสเรามาแสดงผลงาน มาทำงานให้เป็นที่ประจักษ์ ต้องกตัญญูเพราะเราได้เกียรติยศที่สังคมยอมรับเราในความเป็นนักการเมือง เพราะฉะนั้นการกตัญญูตรงนี้ต้องมีนอกเหนือจากการกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด กตัญญูต่อองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณมากล้นต่อแผ่นดินอันนั้นเป็นความกตัญญูที่นักการเมืองจะต้องเน้น ท่านพุทธทาสได้พูดถึงลักษณะธรรมะ ๒ ข้อที่ผมพยายามเข้าใจให้ตรงกับสิ่งที่เป็นปัญหาในทางการเมืองมาโดยตลอด คือท่านพูดถึงเรื่องของ ธรรมิกสังคมนิยม ท่านเอาคำ ๒ คำคือสังคมนิยมกับธรรมิก มารวมกัน ไม่ใช่ลัทธิการเมืองท่านต้องการเห็นการเมืองที่นึกถึงประโยชน์ของสังคมเป็นที่ตั้ง มากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล การนึกถึงประโยชน์ของสังคมนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของการมีธรรมะ
ผมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสมาตลอด ได้ค้นพบว่าท่านมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก ท่านพูดเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ที่สวนโมกข์ วันนี้ยังใช้ได้และเป็นจริงอยู่ ท่านบอกว่าอย่ามองประเทศไทยเป็นแค่ประเทศไทย เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกโลกติดต่อกันง่ายยิ่งขึ้นทุกวัน ท่านพูดถึงเรื่องโลกาภิวัตน์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ แต่ไม่ได้บัญญัติศัพท์ว่าโลกาภิวัตน์เท่านั้นเอง วันนี้เราเพิ่งมาคิดกันได้ตอนที่ปี ๒๐๐๐ กำลังมา เราเพิ่งมาตกใจตื่นกัน แต่ท่านเตือนเรามาตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ แล้ว อันนี้คือวิสัยทัศน์ที่ไม่น่าเชื่อ สำหรับท่านที่แยกตัวออกไปอยู่ในป่าโมกข์ ศึกษาอยู่ตรงนั้น แต่กลับมองล่วงหน้าและเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เกิดจากการอ่านและเป็นนักคิดของท่าน
ผมขอโยงเรื่องของตัวผมกับคำสอนของท่านพุทธทาสสักนิดหนึ่ง ซึ่งจะสะท้อนปรัชญาของท่านที่มีผลต่อสังคม ซึ่งได้เกิดขึ้นจริงและมีผลต่อตัวผมมาแล้วถ้าใครเคยอ่านหนังสือของท่าน เรื่อง Danger of I หรือเรื่องอันตรายซึ่งตัวกู เป็นหนังสือที่ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ ท่านไม่ต้องการให้คนทุกคนมีชีวิตที่มันกัดเจ้าของของมัน ท่านใช้คำว่า ชีวิตที่กัดเจ้าของ เป็นคำพูดที่มีความหมายในตัวมาก ท่านแยกความป่วยเจ็บของคนออกเป็น ๓ อย่าง เดิมพระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ ๒ อย่างคือ ทางกายกับทางจิตแต่ท่านพุทธทาสเห็นว่าทางจิตสมัยนี้มีจิตแพทย์ด้วย ท่านกลัวปนกัน ท่านจึงเรียกว่าทางกาย ทางจิตและทางวิญญาณ มีการป่วยทางวิญญาณหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า spiritual disease ผมยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมป่วยเป็นโรคทางวิญญาณ ช่วงนั้นผมเป็นรองนายกฯ ในสมัยที่คุณบรรหารเป็นนายกฯ ผมป่วยทางวิญญาณต่อเนื่องมาเป็นปี จนผมพักจากการเมืองไปช่วงหนึ่ง ภรรยาผมนี่ละครับเป็นคนบอกว่าผมป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร ป่วยตรงนั้นคือว่าผมมีคำว่า self ท่านพุทธทาสได้พูดคำว่า self ภาษาลาตินเรียก ego ภาษากรีกเรียกเซนทีกอนที่แปลว่า center นั่นก็คือว่าคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกู คนที่มีการปรุงแต่งทางอารมณ์ จิตวุ่น นั่นคือภาวะของความป่วยของผมในช่วงนั้น
ภรรยาผมบอกว่าเธอป่วยแน่ เธอพูดคำว่า self ผมจึงเริ่มรู้สึกว่าผมป่วยจริง ผมจึงไปหาแพทย์แพทย์ของผมชื่อพระอิสระมุนี ซึ่งเป็นองค์หนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส ท่านอิสระมุนีใช้คำสอนของอาจารย์อย่างแม่นยำท่านได้เทศน์ให้ผมฟัง โดยที่ผมไม่ได้นัดหมายกับท่านเลยว่าผมไปหาท่านด้วยเรื่องอะไร อยู่ ๆ ท่านก็เทศน์ให้ผมฟัง ท่านพูดถึงตถตา มันเป็นอย่างนั้นเอง ท่านพูดถึงเรื่องของปฏิจจสมุทปบาท ท่านพูดเรื่องอิทัปปัจจยตา ท่านพูดถึงตัวกูของกู การยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมสว่างเลยครับ ก่อนหน้านั้นผมยอมรับเลยว่าความจำที่เคยแม่น กลับไม่แม่นตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอกว่าถ้าเราวุ่น คือ จิตไม่ว่าง สมาธิไม่เกิด ปัญญาจะหายไป ถ้าจิตว่าง สมาธิมี ปัญญาเข้ามาหา ปรากฏว่าหลังจากนั้นผมคลายลงอย่างง่าย ๆ เลยครับ หลังจากนั้นชีวิตผมมีความสุขมาก คิดอะไรก็ง่าย จำแม่น สมองโปร่งผมบอกได้เลยว่าคาถาบทนี้คือ ความรู้ที่เป็นหลักที่เปรียบเสมือนใบไม้เพียงกำมือเดียวนั้น ถ้าเราพยายามเข้าใจกับหลักแล้ว จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมาก ไม่เครียดและปัญญาจะเกิด แล้วเราจะแก้ปัญหาชีวิตได้อันนั้นคือสิ่งที่ผมอยากจะมาสื่อให้ฟังว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์
สิ่งที่ท่านพุทธทาสได้บอกอีกอย่างหนึ่งคือ เหงื่อของเรานี้คือน้ำมนต์ที่ดีที่สุด อย่าคิดไปวิ่งหาน้ำมนต์ที่ไหนเลย เหงื่อ คือความรักงานเอาใจใส่งาน มุ่งมั่นทำงานเพื่อสร้างตัวเองให้ดีที่สุดท่านยังบอกว่า โง่สำหรับฉลาด ถ้าไม่โง่ก็ไม่มีฉลาด จงเอาความโง่มาใช้เหมือนมีไฟ ไฟมันมีอันตรายเพราะมันร้อน แต่สามารถเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากมายนั่นคือเอาความโง่ในอดีตมาเป็นครู มาเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับอนาคต เพราะฉะนั้นใครที่เจอวิกฤติในวันนี้ ขอให้เอาคาถา ๓-๔ ข้อนี้ละครับไปใช้กับชีวิตพยายามเข้าถึงธรรมะที่เป็นธรรมชาติ โดยการหลุดพ้นจากตัวกูของกูให้มากที่สุด ที่สำคัญให้เริ่มต้นจากสังคมในครอบครัวก่อน สังคมเล็ก ๆ นี้ละครับ ท่านบอกว่าทุกคนเป็นนักการเมืองทั้งนั้น หัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นนักการเมือง เพราะต้องจัดครอบครัวให้มีความสุข หัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นนักการเมือง เพราะต้องจัดหมู่บ้านให้คนในหมู่บ้านมีความสุข เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ถ้าเราหลุดพ้นจากตัวกูของกูในครอบครัว ครอบครัวก็จะสันติ มีความสุข
ท่านพุทธทาสบอกว่า คนขาดสติจะเป็นคนที่วิ่งหาธรรมะ แต่ธรรมะจะวิ่งหาคนที่มีสติ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านปราศจากความเป็นตัวกูของกู และจงมีสติเพื่อให้เกิดปัญญา คิดหาทางแก้ไขปัญหาของท่านและครอบครัวต่อไป ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกประชาธิปไตย แต่ขอให้เข้าใจว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีทุนนิยมปนอยู่เพราะเรารับสังคมของตะวันตกมาเต็มที่ อย่างที่คุณหมอประเวศท่านเขียนหนังสือไว้ว่าความสุขตามคำสอนของท่านพุทธทาสกับความสุขในค่านิยมทางตะวันตกนั้นแตกต่างกัน ตะวันตกถือว่าความสุขคือ การที่สามารถตอบสนองกิเลสของตัวเองได้ ส่วนท่านพุทธทาสนั้นท่านสอนให้หลุดพ้นจากการเป็นตัวกูของกู หลุดพ้นจากกิเลสเพื่อให้จิตว่าง ถ้าจิตว่างอย่างที่สุดนั้นท่านเรียกว่านิพพาน ซึ่งนิพพานนั้นอาจจะอยู่ในวัฏสงสารได้เป็นอะไรที่เป็นข้อโต้แย้งที่สนุกดีเหมือนกัน
สุดท้ายคงจำได้ที่เราเรียนหนังสือตอนเด็กๆ เรื่องที่พระพุทธเจ้าโปรดองคุลิมาล ผมอยากให้คำโปรดของพระพุทธเจ้าครั้งนั้นเหมือนกับเป็นการโปรดให้แก่นักการเมืองทั่วไปด้วย องคุลิมาลเรียกให้ท่านหยุดพระพุทธเจ้าท่านจึงทรงตรัสว่าเราหยุดแล้ว ตัวท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด องคุลิมาลก็ครุ่นคิดในคำว่าหยุดว่าคืออะไรเพราะจะหยุดได้อย่างไรในเมื่อยังเห็นพระพุทธเจ้ายังเสด็จต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หยุดของพระพุทธเจ้าที่โปรดองคุลิมาลในที่นี้คือ หยุดความเป็นตัวกู-ของกู หยุดกิเลสและจงหลุดพ้นจากกิเลส ซึ่งองคุลิมาลก็หยุดได้ในที่สุดเพราะฉะนั้นถ้านักการเมืองทุกคนสามารถหยุด "ตัวกู-ของกู" ปราศจาก "ตัวกู-ของกู" ได้ ประเทศชาติจะมีความสุขมาก ถ้าเราทำอะไรเพื่อคนอื่น เพื่อเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมเกิด ร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายได้นั้น ย่อมทำให้สังคมมีสุขและสันติสุขตลอดไปขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดไปขอขอบคุณ สวัสดี
คงจะมีหลายคนได้ดวงตาเห็นธรรมกันบ้างนะ อย่างไรก็ตามคนรู้ธรรมกับคนมีธรรมต่างกัน บางคนรู้ธรรมมากแต่เอาตัวไม่รอดก็มี ดังนั้นขอให้ทุกท่านมีธรรมมากกว่ารู้ธรรมก็แล้วกัน

mhanation.net
รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: