ค่ำวันที่ 13ธ.ค. เริ่มแรกมีข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะปราศรัยทางโทรศัพท์หรือโฟนอิน ในรายการ”ความจริงวันนี้สัญจร” ซึ่งจัดที่สนามศุภชลาศัย ตามข่าวบอกว่าจะแฉเบื้องหลังในการจัดตั้งรัฐบาลโดยเฉพาะกรณีที่กลุ่มเพื่อนเนวินหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล
หากพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินลักษณะหนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณยุติปัญหาการเมืองลงทันที พอถึงวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม มีการเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พอเปิดตลาดหุ้นหากไม่มีปัจจัยจากต่างประเทศเชื่อแน่ว่าหุ้นจะขึ้นอย่างแน่นอนและขึ้นมากด้วย
สื่อต่างชาติคงเป็นงงและทึ่งเป็นไปได้อย่างไรการเมืองไทย และคงจะนึกไปถึงการยึดอำนาจด้วยดอกกุหลาบปี49 ที่ผ่านมา ยิ่งจะเป็นการประชาสัมพันธ์ความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวให้หันกลับมาเที่ยวประเทศไทยโดยที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ต้องออกแรงอะไรมาก
นี้ไม่ใช่เป็นการช่วยชาติทางอ้อมหรือ ดูได้จากเหตุการณ์พันธมิตรปิดสนามบินเว็บภาษาต่างเทศของไทยมียอดเข้าชมวันและเป็นแสนคน ตัวเลขนี้มาจากไหนก็คือชาวต่างชาตินั้นเองที่เข้ามาหาข้อมูล
หลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณก็กลับมาประเทศมาสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม จะยังเล่นการเมืองโดยการสนับสนุนญาติหรือจะทำประโยชน์ให้ประเทศในด้านอื่นก็ว่าไปจะดีกว่าหรือ
แต่ความเป็นจริงแล้วแม้นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่โฟนอินแต่มีการฉายวีทีอาร์ ก็บอกว่ายังไม่นำพาจริงๆๆๆ คำกล่างก็ยังเหมือนเดิม ก็แล้วแต่สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็แล้วกัน
และเหตุผลใดถึงต้องสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯทำไมถึงไม่เป็นพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ตามแนวทางคิดของนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เพื่อตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ เพราะคำว่า รัฐบาลเพื่อชาติ มันน่าจะเกิดขึ้นช่วงที่พรรคพลังประชาชนมีอยู่
สำหรับนายอภสิทธิ์นั้นโดยศักดิ์และสิทธิแล้วคนที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือเป็นส.ส.ย่อมมีสิทธิที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีถ้ามีเสียงสนับสนุนพอ และที่ผ่านมาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบสามพรรคการเมือง ทำให้รัฐบาลถูกยุบไปด้วยตั้งรัฐบาลกันใหม่ หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในการจัดตั้งรัฐบาลทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ถามว่าเป็นสิทธิหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าทั้งสองฝ่ายเป็นสิทธิที่จะเคลื่อนไหว จะเห็นได้ว่านายอภิสิทธิ์นำดอกกุหลาบสีแดงไปเชิญชวนพรรคนั้นพรรคนี้เข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย ก็ถือว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
หากพูดตามสิทธิแล้วถือว่าทั้งสองฝ่ายมีสิทธิด้วยกันทั้งคู่ แต่การเมืองแล้วจะพูดกันที่สิทธิเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องพูดถึงมารยาทการเมืองด้วย ซึ่งตามมารยาทก็ถือ เมื่อมีการเลือกตั้งพรรคที่ได้จำนวนมากที่สุดได้มารยาทที่จะดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล โดยที่พรรคการเมืองระดับสองต้องมีการมารยาทที่จะหลีกทางให้
แต่เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองผ่านไปมีการยุบพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง พรรคการเมืองอันดับสองก็ย่อมจะได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคการเมืองที่เหลือก็ควรที่จะมีมารยาทหลีกทางให้ใช่หรือไม่
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือว่า เมื่อพรรคการเมืองอันดับหนึ่งถูกยุบ แล้วสมาชิกพรรคนั้นไปหาพรรคอยู่ใหม่ และจะบอกว่าพรรคใหม่นั้นเป็นพรรคอันดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ ดังนั้นการเมืองจึงควรมีกฎ กติกาและมารยาทด้วย ดูอย่างอเมริกาเป็นตัวอย่าง
แต่การเมืองจะพูดเพียงสิทธิ และมารยาทเท่านั้นคงไม่พอ ต้องพูดถึงความชอบธรรมด้วย ก็พูดลำบากเหมือนกันว่าความชอบธรรมคืออะไร ในที่นี่หมายถึงการทำที่ชอบมากกว่า ที่ผ่านมานั้นพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการนำดอกกุหลาบไปมอบพรรคการเมืองต่างๆเพื่อเชิญชวนให้มาจัดรัฐบาลร่วมกัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลแล้วปัญหาไม่จบ จะให้มันจบได้อย่างไรก็เพราะปัญหามันอยู่ที่คนๆเดียว
หากพ.ต.ท.ทักษิณประกาศหนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯดูซิว่าปัญหามันจะจบหรือไม่ แต่หากพ.ต.ท.ทักษิณประกาศสู้ๆๆๆนั้นหละปัญหามันไม่จบ แม้นหากจะตั้งรัฐบาลได้เสียงตามมาก็ถือ ตั้งด้วยกระเป๋าที่มองไม่เห็น ส.ส.ก็จะถูกดูถูกว่าถูกดูดถูกซื้อ ถูกจูง การเมืองไทยก็ไม่พ้นธนกิจการเมือง แล้วปัญหาการเมืองมันจะยุติได้อย่างไร
แล้วทำไมไม่หนุนพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ทั้งๆที่เป็นคนอีสานด้วยกัน ในเมื่อ พล.ต.อ.ประชาบอกว่ามีประสบการณ์น้อยไม่ขอรับตำแหน่งนี้ก่อนหน้านี้ ก็สร้างประสบการณ์ไปก่อนก็แล้วกัน
ส่วนที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช บอกว่า ส.ส.อีสาน ต้องสนับสนุนคนอีสานเป็นนายกฯ ก็ต้องถามว่าก่อนหน้านี้ทำไมนายเสนาะไม่พูดอย่างนี้ ปล่อยให้อายุผ่านมาเข้าเลขเจ็ดสิบแล้วมั้ง ซึ่งตัวเลข ส.ส.อีสานนี้ ผมคิดได้ตั้งแต่ผมเป็นสามเณรน้อย อายุประมาณสิบหกสิบเจ็บต้อนน็ก็เข้าเลขสี่แล้ว ยังไม่เห็นว่า ส.ส.อีสานจะรวมกันได้เลย ดังนั้น อย่าพูดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ ส.ส.อีสานรวมกัน เมื่อรวมกันได้แล้วก็ต้องขีดวงให้ชัดระหว่างประโยชน์ของภาคและประเทศ หากประโยชน์ของภาคไปขัดผลประโยชน์ของประเทศก็ต้องตัดผลประโยชน์ของภาคหรือเอาผลประโยชน์ของภาคเก็บไว้ก่อน แต่นักการเมืองทุกวันนี้ขีดวงเป็นหรือ เอาผลประโยชน์ส่วนตัวพรรคพวกมาร่วมกับผลประโยชน์ของชาติมั่วไปหมด
เมื่อปัญหารเมืองไม่ยุติ ปัญหาเศรษฐกิจวิกฤติคนตกงานมากขึ้น รัฐบาลไม่มีเงินใช้จ้องจะดูดเงินจากเงินคนจน นั้นก็คือเงินประกันสังคม ก็ยังมองไม่ออกว่า ประเทศจะพ้นวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างไรหากการเมืองยังไม่ยุติ ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
ล่าสุดผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีระหว่างนายอภิทธิ์กับพล.ต.อ.ประชา เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ ได้รับเลือก 235 เสียง ขณะที่ พล.ต.อ.ประชาได้ 198 เสียง
มหาเนชั่น
http://www.mhanation.net/
รายงาน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น