วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แทบไม่น่าเชื่อนายกฯอภิสิทธิ์หัวนอกถือฤกษ์ยามเหมือนกันนะ

เท่าที่สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ช่วงตั้งแต่ตอนตั้งรัฐบาลเป็นต้นมามักจะมีฤกษ์ยามเข้ามาเกี่ยวข้องหลายครั้งด้วยกัน ทั้งๆที่เป็นคนหนุ่มเกิดเมืองนอกชอบฟังเพลงร็อก

เริ่มตั้งแต่งหลังจากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 15 ธ.ค. ต่อมาเวลา 17.19 น. วันที่ 17 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายรัฐมนตรีคนที่ 27

เวลา 09.29 น. วันที่ 19 ธ.ค.นายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางทำเนียบรัฐบาลครั้งแรก เพื่อร่วมกิจกรรมทำความสะอาดทำเนียบรัฐบาล และในวันนี้เองได้พบว่าช่วงที่กลุ่มพันธมิตรเข้ายึดทำเนียบฯ มีการทำไสยศาสตร์หลายจุด โดยเฉพาะท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ทำเนียบฯ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า พบว่ามีการนำขี้ผึ้งและแผ่นทองคำเปลว ปิดทับพระเนตรเอาไว้

หลังจากนายอภิสิทธิ์ได้นำครัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เวลา 08.19 น.วันที่ 23 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ได้เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาลเพื่อเริ่มทำงาน จากนั้นประชุม ครม.นัดแรกเวลา 09.00 น.

เวลา 08.39 น. นายอภิสิทธิ์พร้อมด้วยรัฐมนตรี ได้ขึ้นไปสักการะท่านท้าวมหาพรหม ที่ประดิษฐานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นได้สักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดิน

จากเวลาที่ประมวลมานี้พออนุมานได้ว่านายอภิสิทธิ์ได้ถือฤกษ์อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากไม่หลงยึดติดจนเกินไปนักจนทำงานเสีย

หากจะพิจารณาตามหลักพุทธศาสนาแล้วการจะทำความดีนั้นทำได้ทุกเมื่อ แต่จะได้ให้ดีหรือเกิดผลกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้วก็ต้องอาศรัยเวลาอยู่พอสมควร ดูอย่างการที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนใดคนหนึ่งบรรลุมรรคผลนั้นพระองค์ทรงตรวจดูอุปนิสัยของบุคคลนั้นก่อนว่าจะสอนด้วยเรื่องอะไรจะบรรลุธรรมหรือไม่ขั้นไหน ดังนั้นทุกอย่างประกอบด้วยเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง ผู้มีปัญญาเท่านั้นถึงทราบเหตุปัจจัยเหล่า แล้วทำการประสบผลสำเร็จ

พร้อมกันนี้ขอยกความเห็นเรื่อง การถือฤกษ์ยามตามหลักพระพุทธเจ้า ที่ระบุไว้ในเว็บไซต์วัดถ้ำเมืองความว่า เรื่องของการถือฤกษ์งามยามดี เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชาวบ้าน ที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า มักจะคล้อยตามหรือเชื่อถือตามๆกันมา โดยปราศจากเหตุผลและตราบใดที่คนเรายังไม่มีความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่นแล้วก็ยากที่จะเลิกละได้ พระพุทธองค์ทรงวางหลักการถือฤกษ์ยามไว้ดังนี้


"ภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจาและใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดี ของคนเหล่านั้น
คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจาและใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของคนเหล่านั้น
คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา และใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของคนเหล่านั้น
คนทั้งหลายปฏิบัติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี"



สุปุพัณหสูตร๒๐/๓๓๕
ส่วนเสริม
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา เน้นเรื่องการกระทำเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าใครทำความดีเวลาใด เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ดี เป็นฤกษ์ที่ดีเป็นเวลาที่เป็นมงคล ทำให้เกิดโชคดี มีความสุขความเจริญตามมา

แต่ทั้งนี้จะต้องมีปัญญากำกับด้วย คือต้องประกอบด้วยกาละและเทศะ และบุคคลร่วมด้วย ถ้าทำกรรมใดโดยขาดปัญญา กาละและเทศะ เช่น หว่านข้าวในทะเล หรือทำนาหน้าแล้ง มันก็ย่อมจะเหนื่อยเปล่า และเสียของเปล่าแน่นอน

และสิ่งประกอบสำคัญ ที่ไม่ควรลืมคืออกุศลกรรมเก่าจะตามมาให้ผล ในขณะที่เรากำลังทำความดี ให้เราต้องได้รับความทุกข์ แต่เหตุที่เราทำกรรมดีไว้ ผลก็จะต้องดีเสมอไป ไม่กลับกลายเป็นอื่น

ในฐานะชาวพุทธที่ดี ก็ควรจะดำเนินตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นแนวคำสอนของผู้รู้แจ้งโลกทุกโลกแล้ว ไม่มีทางที่จะผิดพลาดได้ อย่าได้ฝากความหวังไว้กับหมอดูซึ่งมักจะคู่กับหมอเดา จะพาให้เศร้าใจ.
ธรรมรักษา


mhanation.netรายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: