การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรขับไล่ระบอบทักษิณได้ยึดทำเนียบรัฐบาลมาเป็นเวลานาน มาวันนี้ได้พัฒนาถึงขั้นปิดล้อมรัฐสภา ท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว และสนามบินสุวรรณภูมิในที่สุดประจานไปทั่วโลกว่าเมืองไทยมีคอรัปชั่น ส่งผล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
เรียนเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เสนาธิการทหารบก แม่ทัพภาคที่ 1 หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรมหรือเทียบเท่า นายกสมาคมทุกสาขาอาชีพ ประธานสภาอุตสาหกรรมไทย ประธานหอการค้าไทย ประธานการท่องเที่ยวไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย อธิการบดีทุกมหาวิทยาลัย เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางการยุติสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในที่สุด คตร.มีมติร่วมกันว่า 1.จะแก้ปัญหาโดยใช้กรอบหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.จะไม่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
3.จะเรียนเสนอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา และจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
4.มีมติร่วมกันให้กลุ่มเคลื่อนไหว คือพันธมิตร ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยเร็วที่สุดและยุติการชุมนุมในทุกพื้นที่
เมื่อมติของคตร.ออกมาอย่างนี้ดูเหมือนว่าทั้งรัฐบาลโดยนายกฯสมชายก็ได้ออกมาแถลงยืนยันที่จะบริหารประเทศต่อไปยืนยันที่รักษาระบอบประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้อง พร้อมกับประนามพันธมิตรว่าเป็นฝ่ายที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยเพราะใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย
ขณะที่พันธมิตรก็ออกมายืนยันว่าการยุบสภาไม่ใช่ทางออกนายกฯสมชายต้องลาออกเท่านั้น จึงดูเหมือนว่ามติครั้งนี้ดูจะเป็นหมั่น เช่นเดียวกับตอนนี้ ผบ.ทบ.นำเหล่าทัพแถลงหน้าจอทีวีให้นายกฯสมชายรับผิดชอบกรณีที่มีการสลายการชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเมื่อ 7 ต.ค.จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่เกิดผลอะไร
เมื่อมีการดื้อแบ่งของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้แล้วประธานคตร.คือพล.อ.อนุพงษ์จะทำอย่างไร จะปฏิวัติหรือซึ่งที่ประชุมก็มีการเสนอ พล.อ.อนุพงษ์ก็ได้บอกแล้วว่า หากอยากจะทำและเป็นหนทางแก้ปัญหาวันนี้ก็ทำได้ทันทีและเป็นใหญ่ด้วย แต่เห็นว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ประกอบกับตอนนี้ลือหึ่งถูกปลดแน่ๆๆๆ
แม้นว่าจากการประชุม คตร.จะได้มีมาตรการตอบโต้หากทั้งสองฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคือ ให้สังคมปฏิเสธความชอบธรรม โดยเฉพาะถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องปฏิเสธการบริหารของรัฐบาลอีกต่อไป
ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ผู้อำนวยการสถาบันสวนดุสิตโพล ได้ชี้แจงรายละเอียดส่วนนี้ว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมทำตามมติที่ประชุม คตร. ในที่ประชุมมีมติว่าปลัดกระทรวง และอธิบดี จะดื้อดึงขัดขืนต่อการสั่งการที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ที่ ผบ.ทบ.เรียกว่า ซีวิล ดิส โอเบเดียนซ์ (Civil dis obeydience) ถือเป็นฉันทามติ โดยการบอยคอตไม่ทำตามคำสั่ง เป็นลักษณะของอารยะขัดขืน และหากพันธมิตรไม่ถอนกำลังจากสนามบินสุวรรณภูมิก็จะมีความชอบธรรมในการปราบปรามเช่นกัน
"อย่างไรก็ตาม สำหรับปลัดกระทรวงที่นั่งอยู่ในที่ประชุม หลายคนเมื่อมีการฟังมติเรื่องนี้ก็ถึงกับทำหน้าหนักใจ อ้ำอึ้ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นธรรมดาที่ข้าราชการอาจกลัวว่าจะถูกปลด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ ได้รับปากว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นแน่นอน" ผู้อำนวยการสถาบันสวนดุสิตโพล กล่าว
นั้นดิแค่ยกแรกของมาตรการก็เริ่มร่อแร่แล้ว ที่เห็นอาการของปลัดกระทรวงและข้าราชการทั้งหลาย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดระยะเวลาที่ระบอบทักษิณเข้ามาบริหารประเทศจนถึงทุกวันนี้ได้วางรากฐานไว้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับรากหญ้า ระดับการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการทุกระดับ เพราะได้รับน้ำหล่อเลี้ยงทั้งการขึ้นเงินเดิน ปรับตำแหน่ง หว่านเงินภาษีของประเทศลงไปที่รากหญ้าไม่รู้กี่ครั้งจะเรียกว่าเป็นการซื้อเสียงทางอ้อมก็ไม่ผิดนัก ดูแล้วมติดังกล่าวนี้คงจะเป็นไปได้ยากมากๆๆ
แต่ถ้าหากข้าราชการเห็นโทษของระบอบทักษิณทั้งที่อ้างว่ารักประชาธิปไตยแล้ว ร่วมใจการปฏิบัติร่วมกันบอยคอต ร่วมกัน ซีวิล ดิส โอเบเดียนซ์ ร่วมกัน อารยะขัดขืน กับคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล เช่นแน่นว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะวิธีการดังกล่าวนี้ แม้นว่าจะเรียกคำต่างกันไป ทั้ง บอยคอต ซีวิล ดิส โอเบเดียนซ์ อารยะขัดขืน ซึ่งก็ตรงกับวิธีการที่พระพุทธเจ้ารับสั่งให้จัดการกับพระฉันนะคือ พรหมทัณฑ์
เพราะว่าเมื่อพระฉันนะบวชเข้ามาแล้วไม่สนใจประพฤติปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ละเมิดพระวินัยอยู่เสมอ เพราะถือว่าตัวเองนั้นเคยเป็นมหาดเล็กพาเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช จึงเดือดร้อนพระสงฆ์ไปทูลถามวิธีการจัดการกับพระฉันนะ พระองค์จึงได้แนะให้พระสงฆ์อย่าได้ในสนในกับพระฉันนะปล่อยให้เขาทำไป ทำผิดก็อย่าได้ตักเตือน ในที่สุดพระฉันนะลดทิฐิมานะการถือตัวปฏิบัติธรรมก็สามารถบรรลุพระอรหันต์ในที่สุด ซึ่งก็คือวิธีการทางสังคมนั้นเอง
แต่ก็นั้นแหละสงฆ์หรือสังคมในครั้งพุทธกาลไม่มีการแตกแยกจึงสามารถจัดการกับพระฉันนะได้ แต่ว่าสังคมไทยปัจจุบันนี้เกิดการแตกแยก ฝ่ายหนึ่งยังลิ้มรสของน้ำผึ้งอาบยาพิษของระบอบทักษิณอยู่ก็ยากที่ได้ผล ดังนั้น คงต้องใช้เวลา
ความจริงแล้วหากไม่มีการบีบบังคับให้สังคมไทยเห็นโทษของระบอบทักษิณแล้ว อาจจะหมดเชื้อไปแล้วก็ได้ เพราะเชื่อว่าหากวิกฤติเศรษฐกิจเกิดหนักๆๆแล้วก็เชื่อแน่ว่าระบอบทักษิณเอาไม่อยู่อย่างแน่นอน แต่ปัจจุบันนี้ที่ระบบเศรษฐกิจสังคมดำเนินไปได้ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจแบบพอเพียงดอกหรือ
มีความมั่นใจวิธี พรหมทัณฑ์ บอยคอต ซีวิล ดิส โอเบเดียนซ์ อารยะขัดขืน จะเป็นวิธีแก้วิกฤติชาติได้ หากมีการดื้อต่อมติดังกล่าว แท่นที่จะใช้วิธีการปฏิวัติ นี้แหละเขาเรียกปฏิวัติทางสังคม
มหาเนชั่น
http://www.mhanation.net/
รายงาน
วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน 2551
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น